มาบริหารข้อมือกันนนน


คนที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์คงคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างดี เพราะในวันหนึ่งๆเราต้องกดเมาส์นับร้อยนับพันครั้ง โดยหารู้ไม่ว่า การใช้นิ้วชี้กดและลากเมาส์เป็นประจำโดยขาดการบริหารข้อมือ

อาจนำโรคร้ายแรงที่ชื่อว่า โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) 
ทำให้เกิดอาการปวดและชาตามข้อมือ หากปล่อยทิ้งไว้นาน อาการนี้จะลุกลามไปสู่บริเวณต้นคอซึ่งถือว่ารุนแรงมาก จึงมีท่าบริหารเส้นประสาทและเส้นเอ็นบริเวณท่อนแขนและข้อมือมาแนะนำ ดังนี้
     ท่าบริหารเส้นประสาทแขนและข้อมือ
        1. ตั้งฝ่ามือขึ้นแล้วกำมือ
       
 2. แบมือและเหยียดนิ้วทุกนิ้วให้ตรงที่สุด โดยให้แต่ละนิ้วชิดกัน
       
 3. หงายฝ่ามือไปด้านหลัง ขณะเดียวกันให้กางนิ้วโป้งให้ห่างจากฝ่ามือมากที่สุด
       
 4. ใช้นิ้วหัวแม่มืออีกข้างดึงนิ้วโป้งให้ห่างจากฝ่ามือให้มากที่สุด
           ทำแต่ละท่าค้างไว้ประมาณ 7 วินาทีควรทำซ้ำตั้งแต่งขั้นตอนที่ 1-4 อีกวันละ 5 ครั้ง
     ท่าบริหารเส้นเอ็นข้อมือ

        1. ตั้งฝ่ามือขึ้น แบมือและเหยียดนิ้วทุกนิ้วให้ตรง
       
 2. งอนิ้วมือทุกนิ้วยกเว้นนิ้วโป้งให้ปลายนิ้วจรดโคนนิ้ว
       
 3. กำมือและแบมือ
       
 4. งอข้อนิ้วมือตรงโคนนิ้วของทุกนิ้ว ยกเว้นนิ้วโป้ง ให้ทำมุมตั้งฉากกับฝ่ามือ
       
 5. กดนิ้วมือลงมาที่ฝ่ามือเบาๆ ขณะเดียวกันพยายามดึงนิ้วโป้งห่างออกจากฝ่ามือให้มากที่สุด
ทำแต่ละท่าค้างไว้ประมาณ 7 วินาที ควรทำซ้ำตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1-5 อีกวันละ 5 ครั้ง ระหว่างทำงาน

ปลีกเวลามาบริหารข้อมือสัก 1-2 นาที คอนเฟิร์มว่าไม่ป่วย และหายเมื่อยเป็นปลิดทิ้งแน่นอน

คุณคิดว่ารัก คือ..อะไร

คุณคิดว่ารัก คือ..อะไร??...วันนี้ ฉันนั่ง และคิดถึงคำนั่น..คำว่ารัก..ว่ามัน คืออะๆไร?? เลยลองๆหาคำตอบในอินเตอร์เน็ตดู
และก้อพบว่า...รัก คือ....
รัก คือ..น้ำ ไม่มีรสชาติ แต่ ขาดไม่ได้
รัก คือ..อากาศ จับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้
รัก คือ..โคถึก ที่ครึกพิโรธ
รัก คือ..สุรา ไม่เมาเหล้า แล้วเรายังเมารัก..
รัก คือ..ยาเสพติด 
รัก คือ..ความเข้าใจ ....(เหรอ)
รัก คือ..
การเสียสละ
รัก คือ..หนังสือ ที่ต้องอ่าน ต้องเรียนรู้ ต้องศึกษา
รัก คือ..การแย่งชิง
รัก คือ..เวลา
รัก คือ..ดาบสองคม
รัก คือ..มิตรภาพ
รัก คือ..การหึงหวง
....และอีกมากมาย
......ฉัน คิดว่า..คำว่ารักนะ มันอยู่กับเรามาตั้งแต่ที่เราไม่เกิด อยู่กับเรามาตั้งแต่..แม่รู้ว่ามีเรา(อีกคนในร่างกาย) อยู่กับเรามาตั้งแต่ก้าวแรกที่แม่เดิน..อาหารทุกคำที่แม่กิน เพลงทุกเพลงที่แม่ฟัง..จนทุกวันนี้เราก้อยังมีรักหล่อเลี้ยงอยู่ รักจากแม่..จากพ่อ ..จากครอบครัว ..จากเพื่อน..
จากคนขายอาหาร..จากคนข้างบ้าน..จากคนที่ทำงาน ..จากต้นไม้..ดอกไม้..
จากปลาทองในตู้ที่เราเลี้ยง....รักอยู่กับเรามามากกว่าอายุของเรา แม้ว่า..เราจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว...มันคืออะไรกันแน่..

ฉันใช้เวลา 20 กว่าปีของฉันมาด้วยความรัก ความรักจากคนรอบข้างที่หล่อเลี้ยงให้ฉันเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ที่ดี  และฉันก้อมอบความรักของฉันแก่คนรอบข้าง..เช่นกัน ..ความรักที่แปรรูปออกมาเป็นรอยยิ้ม..เสียงหัวเราะ ..คำทักทาย..ความหวังดี..ความใส่ใจ..ความห่วงใย..อ้อมกอด..ขนม..นม..และอีกมากมาย..ที่ฉันแปรรูปความรักออกมา..
..และเมื่อ..วันหนึ่ง..ที่ฉันจะได้เจอ..คนรัก..ที่เค้ารักฉัน..และฉันรักเค้า..ฉันจะมอบความรักที่แปรรูปแล้วของฉันให้เค้า..อย่างที่ฉันรักตัวเอง..

..รัก คืออะไร..ฉันไม่รู้ และไม่จำเป็นตัองรู้..เพราะคำว่ารักจะไม่มีค่าอะไรเลย..เมื่อไม่มีการกระทำที่จริงใจ..ห่วงใย..หรือเอาใจใส่..ถ้ามีสักคนที่ฉันจะรัก..ฉันจะดูแลเค้าด้วย..การกระทำ..ที่ดูแลกันและกัน..เหมือนอย่างวันแรกที่แม่รู้ว่า..แม่มีเรา..
เกิดขึ้น..นั่นหล่ะ คือ รักแรกของฉัน..
 

นามบัตร ^^

ปริศนาของโมนาลิซ่า


โมนาลิซา(Mona Lisa) หรือ ลาโชกงด์ (La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดย เลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507)เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์(Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส


     กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์
โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci 1452-1519) คือใครกันแน่
 ภาพนี้วาดขึ้นราวๆ ค.ศ. 1503-1506 โดยแฝงรอยยิ้มที่ลึกลับ น่าเคลือบแคลง ไปด้วยปริศนามากมายลง
บนใบหน้าของ โมนา ลิซ่า ให้ผู้คนได้นึกคิด จินตนาการกันไปต่างๆ นานา ยาวนานถึง 5 ศตวรรษ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน คำถามที่ผู้คนสงสัย และได้ค้นคว้าหาคำตอบกันอย่างมากมาย ก็คือ โมนา ลิซ่า คือใคร?

     ตามคำบอกเล่าของ "จิออร์โอ วาซารี" (Giorgio Vasari 1511-1574) จิตรกร สถาปนิก และ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะในสมัยนั้น เขากล่าวไว้ว่า โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด

     จากหลักฐานอีกแหล่งหนึ่งจาก "อันโตนิโอ เดอ เบอาทิส" ผู้บันทึกปากคำของ ลีโอนาร์โดใน ค.ศ. 1517 ว่าผู้เป็นแบบในภาพคือสตรีชาว ฟลอเรนซ์ และ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ จากการที่ ไม่มีหลักฐานปรากฎที่แน่ชัดว่า ใครเป็นแบบให้กับ ลีโอนาร์โดวาดภาพนี้ จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะ -เป็น บุคคลใน ภาพอาจเป็น คอนสตันซ่า คาวารอส หรืออาจจะเป็น อิสซาเบลลา เดสเต ผู้อื้อฉาว หรืออาจเป็นภรรยาลับของ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ ทั้งนี้ ก็เพราะได้ปรากฎว่า มีโม นา ลิซ่า (เปลือย) หลายภาพในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็น ที่โด่งดังมากกับภาพเปลือยของสาวผู้นี้

     นอก จากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือ ภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire) 
     แม้ ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โด ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนัก ของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระ ราชวัง ฟองแตนโบล แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทม และมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"

     มุมมอง ทัศนะคติ และ ความคิดเห็นความรู้สึก ต่างๆ ที่มีต่อ Mona Lisa นั้นมีมากมายเหลือเกิน"จูลส์ มิเชอเลต์" ได้พรรณนาไว้ใน หนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า "ภาพเขียนนี้ดึงดูดข้าพเจ้า พรํ่าเรียกข้าพเจ้า รุกรานข้าพเจ้า ซึมซาบเข้าไปในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงลิ่วเข้าไปหาโดยไม่รู้สึกตัว ประดุจนกบินดิ่งเข้าไปในปากงูพิษ" นี่คือทัศ-
นคติต่อ Mona Lisa ในศตวรรษที่ 16 ที่มองความงามในแบบอุดมคติ แต่มุมมองจากนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 กลับมองไปอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรแมนติคส์ที่มองว่า โมนา ลิซ่า เป็นสตรีมรณะ (Femme fatale) หรืออีกนัยหนึ่งคือสตรีผู้ยื่นความตายแก่บุรุษ

     สำหรับ เธโอฟิล โกติเอร์ (Theophile Gautier) โมนา ลิซ่า มิได้เป็นสาวน้อยที่มี รอยยิ้มแสนหวานงามปานกลีบกุหลาบ ตามที่วาซารีเคยพรรณนาไว้แต่จะเป็นสาววัย สามสิบที่ร่องรอยแห่งเลือดฝาด และความสดใสแห่งชีวิตเริ่มที่จะอันตรธานหายไป สีของอาภรณ์ และผ้าคลุมผมของเธอ ซึ่งหมองคลํ้าเพราะกาลเวลา ทำให้เธอดูเหมือนหญิง หม้ายที่แฝงไว้ด้วยความทุกข์โศก 

♥ 10 เรื่องแปลกวันวาเลนไทน์ ♥


เรื่องที่ 1: จดหมายถึงจูเลียต


                เชื่อไหมว่า ทุกวันวาเลนไทน์ของทุกปี เมือง "เวโรนา" ซึ่งเป็นเมืองของโรมิโอกับจูเลียต จะได้รับจดหมายกว่า 1 พันฉบับ จ่าหน้าซองถึงจูเลียต!






          ถ้า ใครเคยดูหนังเรื่อง Letters to Juliet ก็จะพอนึกภาพกันออก ที่ผู้หญิงนิยมส่งจดหมายรักไปที่บ้านของจูเลียตเพื่อปรึกษาปัญหารัก และขอพรให้รักของพวกเขาสมหวัง (โรแมนติกจริง อะไรจริง แต่ถ้าส่งจากเมืองไทยไป ค่าส่งน่าจะบานตะไทอยู่ = = ขออภัยหากความเห็นพี่อิงทำให้คนอ่านหมดมู้ด)


: 10 เรื่องแปลก วันวาเลนไทน์


(ภาพกำแพงในบ้านของจูเลียต ที่คู่รักจะนำกระดาษเขียนข้อความหวานๆ มาติดไว้)






เรื่องที่ 2ของขวัญวาเลนไทน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


              รู้ไหมว่าอะไรคือของขวัญวาเลนไทน์ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดเท่าที่โลกเคยมี...






          เฉลย "ทัชมาฮาลไง" ของขวัญชิ้นนี้สร้างโดยพระราชาชาห์จาฮาน เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานตัวแทนความรักอันเป็นนิรันดร์ ที่พระองค์มีต่อพระมเหสี


          ทัช มาฮาลเริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1634 และใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 22 ปี ใช้แรงงานคนทั้งหมดสองหมื่นคนจากทั่วทั้งอินเดียและประเทศแถบนั้น (เป็นความ รักที่ซึ้งสะเทือนใจมากๆ พี่อิงแนะนำให้น้องๆ ไปหาเกร็ดความรู้เรื่องนี้เพิ่มเติมนะจ๊ะ มีสอบด้วยนี่)


: 10 เรื่องแปลก วันวาเลนไทน์






เรื่องที่ 3คนที่ได้รับการ์ดวาเลนไทน์มากที่สุด


              ลองเดากันดูว่า ใครจะได้รับการ์ดวาเลนไทน์มากที่สุด...


              คุณครูนั่นเอง! ช็อกไหม...มีคนส่งการ์ดวาเลนไทน์หาครูจริงๆ รึ


          ลำดับรองลงมาคือ บรรดาลูกที่ได้จากคุณพ่อคุณแม่, คุณแม่, ภรรยา, แฟน และสัตว์เลี้ยง...

          (พี่อิงชวนให้น้องๆ ลองนึกถึงคุณครูฝ่ายปกครองที่ดุที่สุดในโรงเรียน แล้วลองจับกลุ่มส่งการ์ดวาเลนไทน์ไปให้ท่านกันดีไหม จะได้มีเรื่องน่ารักๆ ในวันวาเลนไทน์)



: 10 
เรื่องแปลก วันวาเลนไทน์



เรื่องที่ 4: ความเชื่อวันวาเลนไทน์

             เชื่อกันว่า ในวันวาเลนไทน์ ชื่อผู้ชายที่น้องๆ ผู้หญิง ได้ยินเป็นครั้งแรกของวัน ไม่ว่าจะอ่านจากหนังสือพิมพ์ หรือได้ยินจากวิทยุ โทรทัศน์ จะเป็นชื่อของผู้ชายที่น้องจะแต่งงานด้วยในอนาคต

          (โอเค ก่อนวันวาเลนไทน์ พี่อิงจะเอาชื่อพร้อมใบหน้าของ โรเบิร์ต แพททินสัน ไปแปะเพดาน เหอๆ)










เรื่องที่ 5: ความเชื่อเรื่องนก


             ในยุคสมัยโบราณเลย เชื่อกันว่า ถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนกโรบินบินผ่านศีรษะตัวเองในวันวาเลนไทน์ ก็จะได้แต่งงานกับทหารเรือ






             และ ถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนกกระจอก จะได้แต่งงานกับคนจนแต่มีความสุขตลอดชีวิตการแต่งงาน หรือถ้าได้เห็นนกโกลฟินช์ ก็จะได้แต่งงานกับเศรษฐี!


             (แล้วถ้าได้เห็นนกกระจอกเทศล่ะ = =;)






เรื่องที่ 6: ช้อนแห่งความรัก


             ในประเทศเวลส์ ผู้คนสมัยก่อนนิยมให้ช้อนแห่งความรักแก่คนรัก ซึ่งเป็นช้อนไม้ที่แกะสลักลวดลายซับซ้อนแปลกตา


             (สวยนะ...แต่ อืม...คนรับน่าจะกลัวมากว่าจะซึ้ง ก็หน้าตามันอย่างกับเครื่องรางกันผี)






: 
10 เรื่องแปลก วันวาเลนไทน์






เรื่องที่ 7: รายจ่าย!


             โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ชายจะใช้เงินประมาณ 5 พันบาทสำหรับวันวาเลนไทน์ เพื่อให้เป็นค่ำคืนที่พิเศษสุดสำหรับผู้หญิงที่เขารัก


             (ใครได้ช็อคโกแลตขายในเซเว่นแท่งเดียวจากแฟนยกมือขึ้น! แถมแอบกัดไปแล้ว 1 คำ)










เรื่องที่ 8: วันวาเลนไทน์เมื่อ 700 ปีที่แล้ว


             ผู้ เชึ่ยวชาญเชื่อว่า วันวาเลนไทน์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความโรแมนติกเลยสักนิด จนกระทั่งราวๆ ศตวรรษที่ 14 ก่อนหน้านี้วันวาเลนไทน์มีไว้สำหรับพิธีทางศาสนาและสวดมนต์ เพื่อนักบุญวาเลนไทน์











เรื่องที่ 9: วันวาเลนไทน์โดนแบน!


             บาง ศาสนาและในบางประเทศ แบนวันวาเลนไทน์! เพราะพวกเขาเชื่อว่า มันกระตุ้นให้เกิดความลุ่มหลงราคะ โดยในปี 2002 และ 2008 ประเทศซาอุดิอาระเบีย แบนวันวาเลนไทน์แหละ








เรื่องที่ 10ประเทศที่มีวันวาเลนไทน์เยอะที่สุดในโลก


             ประเทศเกาหลีใต้!






             รู้ไหมว่า เกาหลีใต้มีวันแห่งความรักทุกเดือน! แต่วันแห่งความรักที่สำคัญที่สุดอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน



             ใน เดือนกุมภาพันธ์ ผู้หญิงจะให้ขนมหวานกับผู้ชาย ส่วนในเดือนมีนาคม ผู้ชายจะให้ของตอบแทน แต่ของขวัญนั้นจะไม่ใช่ขนมหรือช็อคโกแลต และเดือนเมษายน จะมีวันที่เรียว่า "Black Day" หรือ "วันสีดำ" สำหรับคนที่โดดเดี่ยวไร้เงาแฟน ไม่ได้ของขวัญจากใคร จะมารวมตัวกินจาจังมยอน (บะหมี่ราดซอสดำ) ที่ร้านอาหารกัน






: 10 เรื่องแปลก 
วันวาเลนไทน์





             เป็น ไงบ้าง มีใครรู้ครบทุกข้อไหม พี่อิงพนันเลยว่าไม่มี อิอิ...ส่วนใครที่ไม่ได้รับของขวัญวาเลนไทน์ก็อย่าเศร้าใจไปนะ ซื้อของขวัญให้พ่อแม่กันเลย แล้วแนบการ์ดว่า อยากได้ของขวัญบ้าง อะไรบ้าง รับรองว่าวันต่อมา จะได้ของขวัญถูกใจมาวางตรงหน้าแน่นอน!




             อย่าลืมว่า คนที่รักเราที่สุดในโลกนี้ ก็คือพ่อแม่ของเรานะคะ


: 10 เรื่องแปลก วันวาเลนไทน์

รักของพ่อแม่ ทั้งรักแท้ และ รักยั่งยืน



วันนี้ "วันแห่งความรัก" คุณบอกรัก "พ่อ-แม่"กันรึยัง






รักของพ่อแม่ ทั้งรักแท้ และ รักยั่งยืน
เขียนโดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
คัดลอกจากหนังสือ “มองธรรมถูกทาง มีสุขทุกที่”
รวบรวมในหนังสือ “ความจริงเกี่ยวกับ ความรัก ความโกรธ และ ความเมตตา เล่ม ๓

     ลูกทุกคนคงเห็นชัดว่า ที่คุณพ่อคุณแม่ทำทุกอย่างให้แก่ลูกนั้น ก็ทำด้วยความรัก เราจึงควรรู้จักความรักของคุณพ่อคุณแม่ให้ดีสักหน่อย

     เริ่มแรก รู้จักกันไว้ก่อนว่า ความรักนั้น ถ้าแยกตามหลักธรรม ก็แบ่งง่าย ๆ ว่ามี ๒ แบบ

     ความรักแบบที่ ๑ คือ ความชอบใจอยากได้เขามาสนองความต้องการของเรา เพื่อให้ตัวเรามีความสุข ความชอบใจที่จะเอามาบำเรอความสุขของเรา ชอบใจคนนั้นสิ่งนั้นเพราะจะมาสนองความต้องการเป็นเครื่องบำรุงบำเรอเรา ทำให้เรามีความสุขได้ ความรักแบบนี้มีมากมายทั่วไป

     ความรักแบบที่ ๒ คือ ความอยากให้เขามีความสุข ความต้องการให้คนอื่นมีความสุข หรือความปรารถนาให้คนอื่นอยู่ดีมีความสุข ความรักของพ่อแม่เป็นแบบที่ ๒ นี้ คือ อยากให้ลูกมีความสุข

     ความรัก ๒ แบบนี้ แทบจะตรงข้ามกันเลย

     แบบที่ ๑ อยากได้เขามาบำเรอความสุขของเรา (จะหาความสุขจากเขา หรือเอาเขามาทำให้เราเป็นสุข) แต่แบบที่ ๒ อยากให้เขาเป็นสุข (จะให้ความสุขแก่เขา หรือทำให้เขาเป็นสุข) 

     ความรักที่หนุ่มสาวมักพูดกัน คือแบบที่ ๑


     แต่ในครอบครัว มีความรักอีกแบบหนึ่งให้เห็น คือ ความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก โดยเฉพาะความรักของพ่อแม่ต่อลูก คือความอยากให้ลูกเป็นสุข 

     ความรักชอบใจ อยากได้เขามาบำเรอความสุขของเรา ก็คือ ราคะ
     ส่วนความรักที่อยากให้เขาเป็นสุข ท่านเรียกว่า เมตตา 

    

 ความรัก ๒ แบบนี้ มีลักษณะต่างกัน และมีผลต่างกันด้วย อะไรจะตามมาจากความรักทั้ง ๒ แบบนี้

     ถ้าความรักแบบที่ ๑ ก็ต้องการได้ ต้องการเอาเพื่อตนเอง เมื่อทุกคนต่างคนต่างอยากได้ ความรักประเภทนี้ ก็จะนำมาซึ่งปัญหา คือ ความเห็นแก่ตัว และการเบียดเบียนแย่งชิงซึ่งกันและกัน


     ส่วนความรักแบบที่ ๒ อยากให้ผู้อื่นเป็นสุข เมื่ออยากให้ผู้อื่นเป็นสุข ก็พยายามทำให้เขาเป็นสุข เหมือนพ่อแม่รักลูก ก็พยายามทำให้ลูกเป็นสุข และเมื่อทำให้ลูกเป็นสุขได้ ตัวเองก็เป็นสุขด้วย


     ความรักแบบที่หนึ่ง เป็นความต้องการที่จะหาความสุขให้ตนเอง พอเขามีความทุกข์ลำบากเดือดร้อน หรืออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถสนองความต้องการของเราได้ เราก็เบื่อหน่าย รังเกียจ


     แต่ความรักแบบที่สอง ต้องการให้เขามีความสุข พอเขามีความทุกข์เดือดร้อน เราก็สงสาร อยากจะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ ให้เขาพ้นจากความลำบากเดือดร้อนนั้น


     ความรักแบบที่หนึ่งนั้น ต้องได้จึงจะเป็นสุข ซึ่งเป็นธรรมดาของปุถุชนทั่วไป ที่ว่า เมื่อเอาเมื่อได้ จึงมีความสุข แต่ถ้าต้องให้ต้องเสีย ก็เป็นทุกข์


     วิถีของปุถุชนนี้ จะทำให้ไม่สามารถพัฒนาในเรื่องคุณธรรม เพราะว่าถ้าการให้เป็นทุกข์เสียแล้ว คุณธรรมก็มาไม่ได้ มนุษย์จะต้องเบียดเบียนกัน แก้ปัญหาสังคมไม่ได้


     แต่ถ้าเมื่อไร เราสามารถมีความสุขจากการให้ เมื่อไรการให้กลายเป็นความสุข เมื่อนั้นปัญหาสังคมก็จะน้อยลงไป หรือแก้ไขได้ทันที เพราะมนุษย์จะเกื้อกูลกัน

     ตามปกติ การให้คือการสละหรือยอมเสียไป ซึ่งมักต้องฝืนใจ จึงเป็นความทุกข์ จึงมาสร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ ทำให้การให้กลายเป็นความสุข

     ความรักแบบที่สอง ที่ทำให้คนมีความสุขจากการให้ จึงเป็นความรักที่สร้างสรรค์และแก้ปัญหา 


   
เมื่อมนุษย์มีความสุขจากการให้ จะเป็นความสุขทั้งสองฝ่าย สุขด้วยกัน คือ ผู้ให้ก็สุขเมื่อเห็นเขามีความสุข ส่วนผู้ได้รับก็มีความสุขจากการได้รับอยู่แล้ว สองฝ่ายสุขด้วยกัน จึงเป็นความสุขแบบประสาน 


   
ความสุขแบบนี้ดีแก่ชีวิตของตนเองด้วย คือ ตนเองมีทางได้ความสุขเพิ่มขึ้น แล้วก็ดีต่อสังคม เพราะเป็นการเกื้อกูลกัน ช่วยให้เพื่อนมนุษย์มีความสุข ทำให้อยู่ร่วมกันด้วยดี 


   
ความรักของพ่อแม่คือ อยากเห็นลูกมีความสุข และอยากทำให้ลูกเป็นสุข แล้วก็มีความสุขเมื่อเห็นลูกเป็นสุข 


  
 เมื่ออยากเห็นลูกมีความสุข พ่อแม่ก็พยายามทำทุกอย่างให้ลูกมีความสุข วิธีสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้ลูกมีความสุข ก็คือการให้แก่ลูก เพราะฉะนั้น พ่อแม่ก็จะมีความสุขในการให้แก่ลูก เพราะการให้นั้นเป็นการทำให้ลูกมีความสุข 


   
ในขณะที่คนทั่วไปต้องได้จึงจะมีความสุข แต่พ่อแม่ให้ลูกก็มีความสุข บางทีตัวเองต้องลำบากเดือดร้อน แต่พอเห็นลูกมีความสุข ก็มีความสุข ในทางตรงข้าม ถ้าเห็นลูกไม่สบายหรือตกทุกข์ลำบาก พ่อแม่ก็พลอยทุกข์ หาทางแก้ไข ไม่มีความรังเกียจ ไม่มีความเบื่อหน่าย แล้วยังทนทุกข์ทนลำบากเพื่อลูกได้ด้วย 


   
รักของพ่อแม่นี้เป็นรักแท้ที่ยั่งยืน ลูกจะขึ้นสูง ลงต่ำ ดี ร้าย พ่อแม่ก็รัก ตัดลูกไม่ขาด ลูกจะไปไหนห่างไกล ยาวนานเท่าใด จะเกิดเหตุการณ์ผันแปรอย่างไร แม้แต่จะถูกคนทั้งโลกเกลียดชัง ไม่มีใครเอาด้วยแล้ว พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ก็ยังเป็นอ้อมอกสุดท้ายที่จะโอบกอดลูกไว้.